Thursday, 8 March 2012

กระดูกอ่อนปลาฉลาม (Shark cartilage)


โภชนารักษาโรค
กระดูกอ่อนปลาฉลาม (Shark Cartilage)



      กระดูกอ่อนปลาฉลาม คือ โครงกระดูกของปลาฉลามทั้งตัวที่ถูกจับขึ้นมาและนำมาบดละเอียด อุดมไปด้วย ธาตุแคลเซียม, ฟอสฟอรัส, สารกลัยโคซามิโนกลัยแคน (Glycosaminoglycans) และสารมูโพลีแซคคาไรด์ (Mucopolysaccharide)
       จากการศึกษาค้นกว้าคุณสมบัติที่พิเศษของปลาฉลามโดยนักวิจัยและได้มีการเผยแพร่ไปทั่วโลกได้พบความมหัศจรรย์ของปลาฉลามที่ช่วยในการรักษาโรคโดยเฉพาะโรคมะเร็งซึ่งได้รับความสนใจมาก มีนักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของปลาฉลาม พบว่าปลาฉลามมีระบบภูมิคุ้มกันพิเศษสามารถต้านทานโรคภัยไข้เจ็บได้สูง โดยเฉพาะโรคมะเร็งถึงแม้จะอยู่ในสภาพน้ำที่สกปรกก็ตามอาจกล่าวได้ว่า ปลาฉลามเป็นสัตว์ที่ไม่เป็นโรคมะเร็ง การที่ปลาฉลามมีคุณสมบัติพิเศษกว่าสัตว์ชนิดอื่นเนื่องจากปลาฉลามมีสารกลัยโคซามิโนกลัยแคน (Glycosaminoglycans) และสารมูโคโพลีแซคคาไรด์ (Mucopolysaccharide) ซึ่งพบในกระดูกของปลาฉลามแตกต่างจากกระดูกสันหลังสัตว์อื่นๆ ช่วยให้ปลาฉลามมีความแข็งแรงและต้านทานโรคสูง

สารอาหารที่สำคัญในกระดูกอ่อนปลาฉลาม
       ในกระดูกอ่อนปลาฉลามนอกจากจะมีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ช่วยในการสร้างกระดูกและฟันเหมือนกระดูกปลาทั่วไปแล้วยังมีสารที่ทำให้เกิดความมหัศจรรย์อื่นอีก คือ สารมูโคโพลีแซคคาไรด์ และโปรตีน ซึ่งเป็นตัวสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานโรค ลดการอักเสบ ยับยั้งการเกิดโครงข่ายเส้นเลือดฝอยที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่รอบๆ บริเวณที่มีเนื้องอกหรือเนื้อเยื่ออักเสบ เป็นการควบคุมการขยายตัวของโรคเนื้องอกหรือโรคมะเร็ง

ระบบภูมิคุ้มกันของปลาฉลาม
       ปลาฉลามมีระบบภูมิคุ้มกันแบบดั้งเดิม คือ มีสารแอนตี้บอดี้หลายล้านชนิดและทำงานเฉพาะเมื่อถูกกระตุ้นจากสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายเท่านั้น การที่ปลาฉลามมีสารแอนตี้บอดี้เป็นจำนวนมาก ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดสิ่งแปลกปลอมจึงไม่สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ จอห์น ฟอร์เรส นักวิจัยแห่งศูนย์ทดลองชีวภาพเกาะเม้าน์ทเดสเซอร์ท ในรัฐเมน สหรัฐอเมริกาได้ทดลองผ่าปลาฉลามแล้วเย็บแผล หลังจากนั้นนำไปใส่ไว้ในน้ำสกปรกปรากฏว่าปลาฉลามไม่ติดเชื้อใดๆ เลย

กระดูกอ่อนปลาฉลามรักษาโรคมะเร็งได้อย่างไร
       จากการศึกษาเรื่องโรคมะเร็งโดย ดร.โฟล์คแมน แห่งโรงพยาบาลเด็กและคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดในเมืองบอสตัน พบว่าเนื้องอกไม่สามารถเจริญเติบโตได้ หากปราศจากการสร้างระบบโครงข่ายเส้นเลือดรอบๆ เนื้องอก หากสามารถยับยั้งหรือทำลายการเจริญเติบโตของโครงข่ายเส้นเลือดได้ ก็สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกได้
       ต่อมานักวิจัยอีกหลายท่านก็สรุปเช่นเดียวกันนี้และได้มีการทดลองใช้กระดูกอ่อนปลาฉลามซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่ไม่มีเส้นเลือดไปปลูกในลูกไก่ที่ยังเป็นตัวอ่อน เส้นเลือดจะแทรกซึมเข้าไปในเนื้อเยื่อทุกส่วนยกเว้นกระดูกอ่อนปลาฉลามที่ปลูกไว้และยังพบว่ากระดูกอ่อนปลาฉลามสามารถทำให้เนื้องอกในหนูทดลองมีขนาดเล็กลงหลังจากกินกระดูกอ่อนปลาฉลาม 21 วัน นักวิจัยตั้งสมมุติฐานว่ากระดูกอ่อนปลาฉลามสามารถยับยั้งการสร้างโครงข่ายเส้นเลือดของเนื้องอกและป้องกันการเจริญเติบโตของเส้นเลือดใหม่ๆ ได้
       ดร.เออร์เนสโต้ คอนเทรราส จูเนียร์ ทดลองนำกระดูกอ่อนปลาฉลามไปรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้ายจำนวน 8 ราย เป็นระยะเวลา 2 เดือน ผลปรากฏว่าผู้ป่วย 7 ราย ใน 8 ราย มีขนาดเนื้องอกลดลง 30-100%
       ดร.วิลเลี่ยม เลนส์ ได้ทดลองนำกระดูกอ่อนปลาฉลามรักษาโรคมะเร็งพบว่ากระดูกอ่อนปลาฉลามมีประสิทธิภาพในการยับยั้งการสร้างเส้นเลือดฝอยของเซลล์มะเร็งทำให้เซลล์มะเร็งขาดอาหารมาหล่อเลี้ยง ผลคือเซลล์มะเร็งไม่เจริญเติบโตและตายในที่สุด โดยที่ไม่มีผลต่อเซลล์ปกติ

กระดูกอ่อนปลาฉลามช่วยรักษาโรคข้ออักเสบ
       โรคกระดูกข้ออักเสบเรื้อรัง (Osteoarthritis) เกิดจากกระดูกอ่อนในข้อต่อเสื่อม กระดูกอ่อนจะร้าวและฉีกขาดเนื่องจากแรงกดดัน จึงทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ ร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองในรูปของอาการอักเสบและกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่ กระดูกอ่อนของคนเราเป็นเนื้อเยื่อที่ไม่มีเส้นเลือดเหมือนกระดูกอ่อนปลาฉลาม แต่เมื่อร่างกายเกิดการบาดเจ็บก็จะสร้างเส้นเลือดผ่านเนื้อเยื่อดังกล่าวไปช่วยในการรักษา แต่จะทำให้เกลือแคลเซียมไปเกาะที่กระดูกอ่อนและเกิดการแข็งตัวและแตกหักในที่สุด การใช้กระดูกอ่อนปลาฉลามอาจช่วยป้องกันกระบวนการดังกล่าวได้
       นักวิจัยได้ทำการทดลองนำสารสกัดจากกระดูกอ่อนปลาฉลามไปฉีดให้ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบซึ่งพิการและมีอาการรุนแรง ปรากฏว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการดีขึ้น ดร.ไฮเซ่ เอ ออร์คาซิต้า แห่งคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยไมอามี่ได้ให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคข้อกระดูกอักเสบเรื้อรัง และมีอาการปวดอย่างรุนแรงรับประทานกระดูกอ่อนปลาฉลามแห้ง ผลปรากฏว่าผู้ป่วยทุกรายมีอาการดีขึ้น

กระดูกอ่อนปลาฉลามช่วยรักษาโรคที่ต้องพึ่งกระบวนการสร้างเส้นเลือดใหม่เลี้ยง
       นักวิจัยเชื่อว่ากระดูกอ่อนปลาฉลามอาจสามารถป้องกันโรคตาเสื่อมในผู้ป่วยเบาหวานและโรค Neovascular Glaucoma ซึ่งจะเกิดการแตกของเส้นเลือดฝอยในเรตินาและมีเลือดออก หลังจากนั้นเกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่ทำให้การมองเห็นไม่ชัดและในที่สุดทำให้ตาบอด กระดูกอ่อนปลาฉลามยังสามารถใช้ได้กับผู้ที่ผ่าตัดต้อกระจกได้ด้วย นอกจากนี้ยังใช้รักษาโรคผิวหนังโซเรียซิส ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ผิวหนังหยาบกระด้างแล้วหลุดออก อาจเกิดการสร้างเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนัง กระดูกอ่อนปลาฉลามยังสามารถช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นด้วย

บุคคลที่ไม่ควรรับประทานกระดูกอ่อนปลาฉลาม
       เนื่องจากกระดูกอ่อนปลาฉลามมีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของเส้นเลือดใหม่ ดังนั้น เด็ก หญิงมีครรภ์ หญิงที่อยากจะมีครรภ์และผู้ที่ได้รับการผ่าตัดไม่ควรรับประทานกระดูกอ่อนปลาฉลาม

คอลลาเจน (Collagen)


โภชนารักษาโรค
คอลลาเจน (Collagen)

คอลลานเจนคืออะไร
       คอลลาเจน (Collagen) เป็นโปรตีนในเนื้อเยื่อเส้นใย มีความสำคัญต่ออวัยวะในร่างกาย  เช่น กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูกอ่อน กระดูก เหงือก ฟัน ตา และหลอดเลือด ซึ่งคอลลาเจนจะช่วยให้โครงสร้างของร่างกายแข็งแรงและมีความยืดหยุ่น โปรตีนคอลลาเจนพบได้ในผิวหนังชั้นที่ 2 ที่เรียกว่า ชั้นหนังแท้ ชั้นหนังแท้นี้จะอยู่ใต้ชั้นหนังกำพร้า
       โปรตีนคอลลาเจนจะประกอบด้วยเส้นใยที่มีความยืดหยุ่น (Elastin fibers) ทำให้ชั้นหนังแท้มีความแข็งแรงและยืดหยุ่น ป้องกันการเกิดแผลและรอยฟกช้ำ
       ในร่างกายคนเรามีโปรตีนประมาณ 5 ล้านชนิด 30-40% เป็นคอลลาเจน คนที่มีน้ำหนัก 50 กิโลกรัม มีคอลลาเจนประมาณ 2-3 กิโลกรัม ดังนั้นคอลลาเจนจึงมีความสำคัญต่อร่างกายมาก
       ระดับคอลลาเจนในร่างกายจะลดลงเมื่ออายุเพิ่มขึ้นและเมื่อระดับคอลลาเจนลดลงจะทำให้ความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของโครงสร้างอวัยวะต่างๆ ของร่ายการลดลง ดังนั้นเมื่ออายุเริ่มเข้าสู่วัย 25 ปี เป็นช่วงที่คอลลาเจนในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง ร่ายการเริ่มมีการสูญเสียความแข็งแรงของผิวพรรณสำหรับผู้หญิงหรือผู้ชายที่ต้องการให้มีสุขภาพผิวพรรณดี ดูสดใส จึงแนะนำให้มีการเสริมคอลลาเจนที่สูญเสียไปเนื่องจากการมีอายุเพิ่มขึ้น โดยรับประทานคอลลาเจนในรูปอาหารเสริม

อาหารเสริมคอลลาเจน (Collagen)
       อาหารเสริมคอลลาเจน คือ อาหารเสริมโปรตีนที่มีคุณภาพสูงซึ่งมีส่วนผสมของสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพผิวประกอบไปด้วยสารอาหารที่สำคัญดังนี้
       1.โปรตีนสำคัญ 2 ชนิด คือ คอลลาเจน 700 mg และ whey (ส่วนของน้ำวัวที่เอาไขมันออกแล้ว) 250 mg
       2.สารอาหารที่มีประโยชน์ คือ วิตามินซี 3.33 mg, ซิลิกา (Silica) 10 mg และแมกนีเซียมสเตียเรท (Magnesium stearate) 10.70 mg

อาหารเสริมคอลลาเจนผลิตจากอะไร
       อาหารเสริมคอลลาเจนผลิตจากไขกระดูกข้อต่อจากวัวที่ซื้อมาจากประเทศต่างๆ ที่มีการตรวจสอบจาก FDA แล้วว่าไม่มีเชื้อโรคของวัว โดยไขกระดูกข้อต่อและกระดูกอ่อนจะถูกทำความสะอาดปราศจากการใช้สารเคมีโดยใช้น้ำล่างแล้วนำไปต้มน้ำ และผ่านการฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิ 120oc เป็นเวลานาน 5 ชั่วโมง ส่วนกระดูกและไขมันจะถูกแยกออกจากน้ำซุป น้ำซุปที่เหลือจะนำไป spray dried เพื่อให้แห้งเป็นผงในสภาวะที่ถูกสุขลักษณะมีการวิเคราะห์ตรวจสอบคุณภาพเพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์นั้นได้มาตรฐานจึงนำไปผสมกับวิตามินซี, whey, ซิลิกาและแมกนีเซียม แล้วนำไปอัดเม็ด บรรจุหีบห่อเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้คุณภาพ

สารอาหารที่จำเป็นในการสังเคราะห์คอลลาเจนในร่างกาย
       ขณะที่ผิวหนังมีการสังเคราะห์คอลลาเจนจะต้องการสารอาหารเพิ่ม คือ วิตามินซีและกรดอะมิโนจากโปรตีน  เช่น ไกลซีน (Glycine) โพรลีน (Proline) ไฮดร็อกซีโพรลีน (Hydroxyproline) ไฮดร็อกซีไลซีน (Hydroxylysine)

บทบาทของสารอาหารในอาหารเสริมคอลลาเจน
       Whey และคอลลาเจนในอาหารเสริมนี้จะเป็นตัวให้กรดอะมิโนและธาตุสักกะสี เมื่อร่างกายได้รับสารอาหารในปริมาณที่เหมาะสม จะทำให้ผิดหนังมีความแข็งแรงทนต่อสภาพถูกทำลาย และยับยั้งการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น
       วิตามินซี เป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับการผลิตและรักษาเนื้อเยื่อคอลลาเจน การเพิ่มวิตามินซีในอาหารเสริมนี้จะช่วยยับยั้งการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้โดยวิตามินซีจะเป็นตัวกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกายหรือสิ่งสกปรกที่เกิดจากสภาพแวดล้อม สารเคมี อากาศและควันบุหรี่
       ซิลิกา (Silica) มีความจำเป็นสำหรับเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในร่างกาย
       คอลลาเจินในร่างกายจะชะลอตัวลงเมื่อเราอายุ 20 ปี และน้อยลงทุกๆ 10 ปี หลังจากนั้น การรับประทานอาหารเสริมคอลลาเจนจะช่วยเพิ่มสารอาหารที่จำเป็นในการสร้างเนื้อเยื่อและช่วยชะลอความแก่ เนื่องจากอาหารเสริมคอลลาเจนแตกตัวและถูกดูดซึมได้อย่างรวดเร็วในร่างกาย

บุคคลกลุ่มไหนที่ควรรับประทานคอลลาเจน
       อาหารเสริมคอลลาเจนเหมาะสำหรับสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีที่ต้องการรักษาความอ่อนเยาว์ และบำรุงผิวพรรณที่ถูกทำลายหรือเสื่อมสภาพลงเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไป สำหรับผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 22-23 ปี ไม่จำเป็นต้องรับประทานก็ได้ การรับประทานอาหารเสริมคอลลาเจนจะไม่มีอันตรายหรือผลข้างเคียงต่อสุขภาพ การใช้ในสตรีมีครรภ์ควรปรึกษาแพทย์

ปริมาณที่ควรรับประทาน
       รับประทาน ครั้งละ 3 เม็ด วันละ 2 เวลา หรืออย่างน้อย 1 เม็ดก่อนนอนทุกวัน เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดควรรับประทานคอลลาเจนควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำสะอาด พักผ่อนและออกกำลังกายให้เพียงพอ นอกจากนี้ไม่ควรดื่มสุรา และสูบบุหรี่ เพราะจำเป็นการทำลายผิดของคุณด้วย
       ผลของคอลลาเจนสามารสังเกตเห็นได้ในทุกๆ สัปดาห์ด้วยแว่นขยายและการส่องกระจกเพื่อดูการพัฒนาบริเวณที่เกิดริ้วรอยได้  เช่น รอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา, เหนือริมฝีปาก, ระหว่างริมฝีปากบนและจมูก, รอยหย่อนของเนื้อเยื่อบนใบหน้ารอบๆ ดวงตา, บริเวณแก้มและคอ จะเห็นริ้วรอยลดลง