Saturday, 28 April 2012

ดอกคำฝอย (Safflower)

โภชนารักษาโรค
ดอกคำฝอย (Safflower)
 
 
 
ดอกคำฝอย เป็นพืชพื้นเมืองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแถบหุบเขาไนล์เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้ว ต้นคำฝอยเป็นไม้มีหนามจำพวกผักโขม สูง 1 ครึ่ง-4 ฟุต ให้ดอกเหลืองอ่อนจนถึงสีส้มแก่ มีลักษณะเป็นอฝอยของกลีบดอกเป็นจำนวนมาก สำหรับในประเทศไทยรู้จักต้นดอกคำฝอยมานานมากจนมีคำพื้นเมืองที่เรียกกันทั่วไป  เช่น คำยุ่ง คำยอง คำฝอย ดอกคำ ชื่อในภาษาอังกฤษว่า Safflower หรือ American Saffron และมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cartamus tinctorius Linn อยู่ในวงศ์ Compositae

ความสำคัญของดอกคำฝอย
       จากการค้นคว้าและวิจัยด้านอาหารของอเมริกา เพื่อแก้ปัญหาอาหารไม่มีพอเลี้ยงประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นทุกวันทำให้มนุษย์เป็นโรคขาดสารอาหารกันมากขึ้นนั้น ได้พบว่าในเมล็ดของดอกคำฝอยอุดมไปด้วยน้ำมันและโปรตีน ดอกคำฝอยมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ในน้ำมันก็มีประมาณ 30-40% และในเมล็ดดอกคำฝอยที่สกัดน้ำมันออกแล้วนั้นมีโปรตีนเฉลี่ยประมาณ 20% ซึ่งน่าจะเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญอีกทางหนึ่งด้วย

น้ำมันเมล็ดดอกคำฝอยมีปริมาณองค์ประกอบกรดไขมัน ดังนี้
     กรดปาล์มมิติค (Palmitic acid)           ร้อยละ 6.60
       กรดสเทียริค (Stearic acid)                 ร้อยละ 2.32
       กรดโอเลอิค (Oleic acid)                    ร้อยละ 12.97
       กรดไลโนเลอิก (Linoleic acid)           ร้อยละ 78.10
       จากการวิเคราะห์ดังกล่าวสรุปได้ว่า น้ำมันเมล็ดคำฝอยมีปริมาณกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิด Polyunsaturated ในรูปของกรดไลโนเลอิก และกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิด Monounsaturated ในรูปของ กรดโอเลอิค รวมกันประมาณ 91% ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ส่วนที่เหลือจะเป็นกรดไขมันอิ่มตัว (Saturated fat) ประมาณ 9% ส่วนกรดอะมิโนอื่นในดอกคำฝอย ได้แก่ ฮีสติดิน อาร์จินิน, ไกลซิน, แอสพาร์ติค, แอซิด, กลูตามิค แอซิด, ซิริน, โปรลิน, อะลานิน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกรดอะมิโนชนิดที่ร่างกายต้องการ (Essential amino acid)

สาระสำคัญในดอกคำฝอย
       ต้นคำฝอยที่นำมาใช้ประโยชน์กันนั้นจะมีส่วนดอกและส่วนของเมล็ด ซึ่งก็นำมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ กัน  เช่น ดอกคำฝอยก็นำมาตากแห้งเพื่อใช้ชงดื่ม ส่วนเมล็ดก็นำไปสกัดน้ำมันเพื่อใช้ประกอบอาหาร ส่วนกากของเมล็ดที่มีโปรตีนถึง 20% ก็นำมาแปรรูปเป็นอาหารมนุษย์และใช้เลี้ยงสัตว์ จากการวิเคราะห์ของนักวิทยาศาสตร์ในห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจสอบสารประกอบต่างๆ ที่มีอยู่ในต้นคำฝอยพบว่าทั้งในดอกและเมล็ดมีสารต่างๆ ที่สำคัญ ดังนี้
       ดอก ในดอกคำฝอยประกอบด้วยสารสีแดงชื่อ คาร์ทามิน (Carthamin) และสารสีเหลืองชื่อแซฟฟลาวเวอร์ เยลโล (Safflower yellow) ซึ่งเป็นสารที่ละลายน้ำได้ นอกจากนี้ยังประกอบด้วยกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวหลายชนิด  เช่น กรดไลโนเลอิก, โปรตีน, เบต้า-แคโรทีน (ß-caratene), วิตามินอี เป็นต้น
       เมล็ด ในเมล็ดได้มีการสกัดน้ำมันจากเมล็ดดอกคำฝอย (Safflower seed oil) ซึ่งได้จากการบีบเมล็ด ประกอบด้วย เบต้า-แคโรทีน (ß-Carotene) กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวหลายชนิดในปริมาณสูง  เช่นกรดไลโนเลอิก (Linoleic acid) กรดไลโนลิก (Linolic acid) กรดโอเลอิก (Oleic acid) เป็นต้น

คุณประโยชน์และฤทธิ์ทางยา
       ดอกคำฝอย
      1.ใช้แต่งสีอาหาร เครื่องดื่มต่างๆ และเครื่องสำอาง ให้มีสีแดง-ส้ม ใช้แทนหญ้าฝรั่น และใช้ในอุตสาหกรรมสี น้ำมันชักเงา น้ำมันซักแห้ง (drying oil) ใช้ผสมสีขาวหรือสีอ่อน เพราะเป็นน้ำมันที่ไม่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองเมื่อเก็บไว้นานอย่างน้ำมันพืชบางชนิด
       2.มีฤทธิ์ยับยั้งไวรัส และเชื่อเบคทีเรีย จากรายงานการวิจัย พบว่าสารสกัดดอกคำฝอยด้วยน้ำร้อนมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อไวรัสซึ่งเป็นสาเหตุของโรคโปลิโอ และสารสกัดจากดอกคำฝอยด้วยแอลกอฮอล์สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนองได้ ดังนั้นเมื่อต้มดอกคำฝอยซึ่งมักใช้อาบน้ำเวลาออกหัด เพื่อแก้อาการคันตามผิวหนัง ก็อาจจะเนื่องมากจากฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียนั่นเอง
   3.ตามตำรายาแพทย์ไทยใช้ดอกคำฝอยเป็นยาบำรุงโลหิตประจำเดือนของสตรี บำรุงหัวใจ บำรุงประสาท แก้โรคผิวหนัง ขับระดู แก้ดีพิการ เป็นต้น
      4.ลดไขมันในเลือด ป้องกันไขมันอุดตัน และช่วยลดความอ้วนอีกด้วย ทั้งนี้ เนื่องมาจากในดอกคำฝอยมีส่วนประกอบของกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวอยู่บ้าน ซึ่งปริมาณไม่สูงเท่าในน้ำมันซึ่งบีบจากเมล็ดกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่สำคัญ คือ กรดไลโนเลอิก (Linoleic acid) จะช่วยทำปฏิกิริยากับไขมันและคอเลสเตอรอล ทำให้การเกาะตัวของไขมันตามเส้นเลือดต่างๆ น้อยลง จะทำให้ลดโอกาสที่จะเกิดโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้
       น้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย
       1.ช่วยลดไขมันในเลือด ในเมล็ดดอกคำฝอยที่สกัดนั้น จะมีกรดไลโนเลอิกที่เป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวสูง ร้อยละ 75 ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดต่ำลงและจากผลการวิจัยในสัตว์ทดลองและในคนพบว่า น้ำมันดอกคำฝอยช่วยทำให้ปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดลดลงได้จริง และยังมีรายงานว่าน้ำมันคำฝอยทำให้ฤทธิ์ของเอนไซม์ที่ใช้สร้างกรดไขมันลดลงอีกด้วย
       2.ช่วยป้องกันไขมันอุดตันในหลอดเลือด จากผลการวิจัยในสัตว์ทดลองและในคนพบว่า น้ำมันดอกคำฝอยจะช่วยให้การอุดตันของไขมันในหลอดเลือดลดลง และช่วยป้องกันการอุดตันของไขมันในเลือดได้ ทั้งนี้จากรายงานของ ศาสตราจารย์ นายแพทย์สนอง อูนากูล หัวหน้าภาควิชาเคมีของโรงพยาบาลศิริราชได้ทำการทดลองแล้วได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
       3.น้ำมันดอกคำฝอยจะช่วยลดการจับตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจวายลงได้ เนื่องจากกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวที่ชื่อ ไลโนเลอิก (Linoleic acid)

อัลฟัลฟา มหัศจรรย์

โภชนารักษาโรค
“อัลฟัลฟา” หญ้ามหัศจรรย์
 
 
อัลฟัลฟา (Al-fal-fa) แปลว่า บิดาของอาหารทุกชนิด (Father of all foods) เนื่องจากรากของ “อัลฟัลฟา” หยั่งลึกลงไปใต้ดินลึกมาก จนสามารถดูดซึมเอาแร่ธาตุใต้ดินที่อยู่ลึกมากๆ จนไม่มีรากพืชชนิดใดสามารถหยั่งลึกลงไปเอาได้
       “อัลฟัลฟา” เป็นพืชธรรมชาติ ที่มีวิตามิน เอ, ดี, อี, เคและโปรตีนสูง มีแร่ธาตุต่างๆ อยู่อย่างสมบูรณ์  อาทิเช่น แคลเซียม, แมกนีเซียม, ฟอสฟอรัส, โปแตสเซียม, ซิลิคอน, คลอรีนและธาตุเหล็ก ที่สำคัญคือ มีคลอโรฟิลล์ช่วยระงับกลิ่นปาก

ประโยชน์ของ “อัลฟัลฟา” หญ้ามหัศจรรย์ต่อสุขภาพ
    1.ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหารต่างๆ  เช่น มีแก๊สในกระเพาะ เกิดอาการแน่นจุกเสียดเป็นประจำและโรคเบื่ออาหาร โดยพบว่า “อัลฟัลฟา” นี้มีวิตามินยู ซึ่งมีประโยชน์ต่อการรักษาโรคกระเพาะ ดร.กาเนนท์ แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กล่าวว่า วิตามินยู มีศักยภาพในการรักษาโรคกระเพาะ (Pepticulcers)
     2.ช่วยในการขับถ่ายปัสสาวะให้เป็นปกติ และยังมีฤทธิ์เป็นยาระบายตามธรรมชาติอย่างอ่อนๆ อีกด้วย
        3.ช่วยทำให้กระดูกและฟันของเด็กแข็งแรง เนื่องจาก “อัลฟัลฟา” ประกอบไปด้วย วิตามินดี แร่ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง
        4.ช่วยเพิ่มน้ำนมในสตรีให้นมบุตร
        5.ช่วยให้เจริญอาหาร
       6.ช่วยการแข็งตัวของเลือด เพราะใน “อัลฟัลฟา” 100 กรัม มีวิตามินเค สูงถึง 20,000-40,000 ยูนิต
       7.เป็นแหล่งแคลเซียมและฮอร์โมนเอสโตรเจน เหมาะสำหรับสตรีวัยหมดประจำเดือน
       8.ช่วยให้ผิวพรรณสะอาด ลดปัญหาการเกิดสิว
      9.ช่วยรักษาอาการปวดตามข้อ จากหนังสือของ แคทเทอรีน เอทวูท ชื่อ “Feel like amillion” ได้กล่าวถึงความมหัศจรรย์ของ “อัลฟัลฟา” อัดเม็ดที่หมอประจำครอบครัวได้ให้คนไข้ของเขารับประทาน วันละ 18 เม็ด (โดยรับประทานครั้งละ 6 เม็ด วันละ 3 ครั้ง) เพื่อรักษาอาการปวดตามข้อของคนไข้ ก็ได้รับรายงานจากคนไข้ว่าสามารถงอมือได้สะดวกขึ้น และความเจ็บปวดก็หายไป

ผู้ที่ควรรับประทาน “อัลฟัลฟา” เป็นอาหารเสริม
     1.ผู้ที่ไม่ชอบรับประทานผักเป็นอาหารเสริมประจำวัน
       2.ผู้ที่มีปัญหาเจ็บปวดที่ข้อต่อกระดูก เพราะมี Phyto estrogen
       3.ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารและลำไส้
       4.ผู้ที่เป็นโรคริดสีดวงทวาร บรรเทาอาการท้องผูก
       5.ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับผิวพรรณ ลดการเกิดสิว

อีฟนิ่ง พริมโรส ออยส์ (Evening primrose oil)

โภชนารักษาโรค
อีฟนิ่ง พริมโรส ออยล์ คืออะไร
(Evening Primrose Oil : EPO)

อีฟนิ่ง พริมโรส ออยล์ คืออะไร
       อีฟนิ่ง พริมโรส เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งในตระกูล Primrose ซึ่งมีดอกสีเหลืองเล็กๆ มีชื่อทางพฤษศาสตร์เรียกว่า Oerothera biennis เป็นพันธุ์ไม้พุ่มเล็กๆ ขึ้นตามชายป่าของเขตอากาศอบอุ่นและหนาวของทวีปอเมริกาเหนือตอนบน ดอกพริมโรสมีสีเหลืองสดใสจะบานในตอนเย็นประมาณ 6 โมง ถึง 1 ทุ่ม จึงได้เรียกว่า Evening โดยจะบานเกือบพร้อมๆ กัน แต่ถ้าแดดจัดๆ กลีบจะเหี่ยวเร็ว ดอกมีหลายขนาดตั้งแต่ 1cm ถึง 13cm ประเทศที่ปลูกและผลิตอีฟนิ่ง พริมโรส ได้แก่ ประเทศในเขตหนาวทั้งหลาย  เช่น อังกฤษ อเมริกา สเปน ฮังการี และแคนาดา เป็นต้น
       EPO เป็นผลผลิตจากเมล็ดของ อีฟนิ่ง พริมโรส ซึ่งในน้ำมันนี้จะเป็นแหล่งของกรดไขมันจำเป็น (Essential fatty acid) 2 ชนิดที่สำคัญ คือ กรดไลโนเลอิค (Linoleic acid ; LA) และกรดแกมมา-ไลโนเลนิก (Gamma-linolenic ; GLA) ซึ่งกรดไขมันทั้ง 2 ตัว เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้และโดยเฉพาะกรด GLA เป็นกรดที่พบในอาหารธรรมชาติค่อนข้างน้อย ซึ่งในอาหารธรรมชาติจะพบได้ในอีฟนิ่งพริมโรส, น้ำนมแม่, ข้าวโอ๊ต, ข้าวบาร์เล่ย์, น้ำมันแบล็คเคอเรนท์ สาหร่ายน้ำจืด และสไปรูไลนา เป็นต้น ใน EPO มีปริมาณกรดไขมันทั้ง 2 ตัว คือ กรด LA อยู่ประมาณ 70% และกรด GLA ประมาณ 9% ซึ่งเป็นปริมาณที่เพียงพอที่จะทำให้สุขภาพดีขึ้น
       การใช้อีฟนิ่งพริมโรสนั้นมีการใช้ในการรักษาโรคต่างๆ มานานแล้ว ในสมัยก่อนชาวอินเดียแดงแถบอเมริกาเหนือใช้ในการรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคหอบหืด แผลที่ผิวหนัง แก้ปวดท้อง ไอกรน เป็นต้น ปัจจุบันได้นำมาใช้บำบัดโรคหลายชนิดโดยนักวิชาการหลายท่านในวงการแพทย์ต่างก็ยอมรับถึงสรรพคุณของ EPO ว่ามี ประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก

กรดไขมันใน EPO
       ในอีฟนิ่ง พริมโรส อุดมไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็น 2 ชนิด คือ LA และ GLA ซึ่งกรดไขมันทั้ง 2 ตัวนี้เราจำเป็นต้องได้รับจากอาหาร ไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ประโยชน์ของกรดไขมันทั้ง 2 ตัวนี้ที่มีต่อสุขภาพพอสรุปได้ดังนี้
              - ให้พลังงานแก่ร่างกาย
              - ช่วยรักษาเซลล์ต่างๆ ในร่างกายให้แข็งแรงและเป็นโครงสร้างของเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย
              - ช่วยสร้างฮอร์โมนชื่อโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin ; PG)
              - ช่วยป้องกันอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ไม่ให้ถูกกระทบกระเทือน
              - ช่วยบำรุงประสาท ความจำ
              - ช่วยรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้ปกติ

ประโยชน์ของ EPO ต่อสุขภาพ
       ประโยชน์ของอีฟนิ่ง พริมโรส ออยล์ ที่มีต่อสุขภาพมีมากมายในการรักษาโรคต่างๆ ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้
       1.ช่วยรักษาอาการของโรคผิวหนัง Atopic eczema เป็นโรคผิวหนังที่มีการอักเสบแดงและคัน ซึ่งโรคผิวหนังชนิดนี้มีรายงานว่าเกี่ยวข้องกับการขาดกรดไขมันจำเป็นซึ่งพบว่าการใช้ EPO ช่วยลดอาการคันและการอักเสบของผิวหนังได้
       2.ลดอาการผิดปกติก่อนการมีประจำเดือน (Premenstrual tension) เป็นอาการที่เกิดทางด้านร่างกายและจิตใจของสตรี ซึ่งจะเริ่มขึ้นในช่วงสัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน โดยคาดว่าเกิดจากการขาดฮอร์โมนโพรสตาแกลนดิน อาการเหล่านี้ได้แก่ ปวดศีรษะ คัดหน้าอก อาการหงุดหงิด น้ำหนักเพิ่ม ท้องอืด ซึมเศร้าบวมตามมือและเท้า ท้องผูก อาการร้อนวูบวาบ ปวดหลัง คลื่นไส้ เป็นสิว อ่อนเพลีย ซึ่งอาการเหล่านี้มีผลเสียต่อสุขภาพของสตรีมาก การเสริม EPO จะช่วยลดอาการข้างต้นได้ เพราะกรด GLA จะไปช่วยเพิ่มฮอร์โมนโพรสตาแกลนดินให้สูงขึ้น จึงลดอาการดังกล่าว
       3.บรรเทาอาการ Cyclical และ non-cyclical mastahia ซึ่งเป็นอาการเจ็บทรวงอก และต่อมน้ำนมบวม เจ็บเต้านม เต้านมตึงบวมเป็นก้อนแต่ไม่ใช่ก้อนมะเร็ง บางรายอาจเป็นพังผืด เป็นซีสต์ ซึ่งเมื่อได้รับ EPO แล้วอาการต่างๆ ลดลง
       4.ลดอาการของโรคข้อรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) ซึ่งเป็นอาการปวดตามข้อต่างๆ  เช่น เข่า ข้อมือ ข้อเท้า แม้กระทั่งข้อต่อของนิ้วมือและนิ้วเท้า อาการปวดข้อนี้เกิดจากระบบภูมิต้านทานของร่างกายผิดปกติ โดยภูมิต้านทานนี้จะไปทำลายเนื้อเยื่อของร่างกายตัวเอง ทำให้เกิดการอักเสบตามข้อต่างๆ สาร GLA ใน EPO จะช่วยในการสร้างฮอร์โมนโพรสตาแกลนดินทำให้ระบบภูมิต้านทานดีขึ้น ช่วยลดการอักเสบ ลดการปวดข้อ ซึ่งการใช้ EPO ไปนานๆ อาการปวดต่างๆ จะหายไป
       5.ลดอาการชาปลายมือปลายเท้าของผู้ป่วยเบาหวานและลดอาการจอประสาทตาเสื่อม ทำให้การรับความรู้สึกดีขึ้น เหตุผลส่วนหนึ่งเกิดจากผลการที่ผู้ป่วยเบาหวานมีระดับของ GLA ต่ำเนื่องจากความผิดปกติของการเผาผลาญไขมัน ซึ่ง EPO จะช่วยลดอาการดังกล่าวได้
       6.สาร GLA และ LA ใน EPO จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดลงได้ จึงช่วยป้องกันการเกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดแข็งตัวและโรคหัวใจได้ นอกจากนี้ในรายของผู้ที่อ้วน หรือมีน้ำหนักตัวมาก EPO จะช่วยลดน้ำหนักลงได้อย่างดี
       7.ช่วยลดสิวได้ เมื่อใช้ร่วมกับสังกะสี
       8.ช่วยบรรเทาอาการติดเหล้าได้ (Hangover)
       9.ลดอาการ Hyperactive (เด็กอยู่ไม่สุข) ในเด็กได้
       10.ช่วยทำให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี นุ่มนวลสดใส ผิวหนังชุ่มชื้นอยู่เสมอ ทั้งนี้เพราะกรด GLA ใน EPO เป็นองค์ประกอบที่สำคัญชนิดหนึ่งของเยื่อบุเซลล์ ทำหน้าที่ในการป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียน้ำออกจากเซลล์ผิวหนัง และยังจะทำให้เลือดไหลเวียนมาเลี้ยงผิวหนังได้มากขึ้น จึงช่วยบำรุงผิวหนังให้สดชื่น นุ่มนวลมีสุขภาพดีอยู่เสมอ
       11.ด้านความสวยความงาม ได้มีการนำ EPO มาใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางหลายชนิดซึ่งใช้โดยตรงต่อผิวหนังมีทั้งชนิดที่รับประทานได้และชนิดทา ซึ่งผลที่ได้เป็นยอมรับกันทั่วไป นอกจากจะทำให้ผิวพรรณสดใส นุ่มนวลแล้วยังช่วยลดอาการผมร่วง เป็นรังแค แก้ผิวหยาบ และผิวแห้ง ได้เป็นอย่างดี