Saturday 5 May 2012

สังกะสี

โภชนาการรักษาโรค
สังกะสี
 
 
       ในร่างกายของผู้ใหญ่มีแร่ธาตุสังกะสีอยู่ประมาณ 2-3 กรัม พบอยู่ในเนื้อเยื่อทั่วไป แต่ที่มีสังกะสีในความเข้มข้นสูง ไดแก่ ดวงตา โดยเฉพาะที่ม่านตา และจอรับภาพ (Retina) ต่อมลูกหมากและเส้นผม ในเลือดมีสังกะสีประมาณ 1 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ประมาณร้อยละ 85 พบในเม็ดเลือดแดง ที่เหลืออยู่ในน้ำ เลือดและเม็ดเลือดขาว

เมตะบอลิซึมของสังกะสี
       สังกะสีดูดซึมในลำไส้เล็กบริเวณตอนต้น (Duodenum) และตอนกลาง (Jejunum) ได้ประมาณร้อยละ 20-30 น้ำย่อยจากตับอ่อนและน้ำนม โดยเฉพาะน้ำนมแม่จะช่วยให้ธาตุสังกะสีดูดซึมได้ดีขึ้น สารที่ขัดขวางการดูดซึม ได้แก่ แคลเซียม ทองแดง แคดเมียม ไฟเทต และใยอาหาร สังกะสีส่วนที่ไม่ถูกดูดซึมก็จะถูกขจัดออกไปทันที โดยจะขับถ่ายออกมากับน้ำย่อยจากตับอ่อนและลำไส้เล็กและขับถ่ายออกไปทางอุจจาระ โดยปกติสังกะสีจะถูกขับถ่ายทางปัสสาวะ วันละ 500 ไมโครกรัม

บทบาทหน้าที่ของสังกะสีในร่างกาย
       1.สังกะสีเป็นองค์ประกอบอยู่ในเอนไซม์อย่างน้อย 70 ชนิด ซึ่งมีบทบาทหน้าที่สำคัญ  เช่น
              1.1 เป็นเอนไซม์สำคัญในกระบวนการขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์จากเซลล์และเนื้อเยื่อไปยังปอด
              1.2 เป็นเอนไซม์เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาการเปลี่ยนกรดไพรูวิกเป็นกรดแล็กติก ในวิถีไกลโคลิซิส
              1.3 เป็นเอนไซม์ที่ใช้ย่อยโปรตีนในลำไส้เล็ก
       2.สังกะสีเป็นโคแฟกเตอร์ในปฏิกิริยาการสังเคราะห์ DNA และ RNA บทบาทของสังกะสีในข้อนี้มีความสำคัญในเซลล์และเนื้อเยื่อในระบบทางเดินอาหารรวมทั้งปุ่มรับรสที่ลิ้น ดังนั้นสังกะสีจึงมีส่วนช่วยให้รู้รสอาหาร
       3.สังกะสีเกี่ยวข้องกับการโยกย้ายวิตามินเอจากตับออกไปในกระแสเลือด เพื่อรักษาระดับวิตามินเอในเลือดให้ปกติ
       4.สังกะสีช่วยการทำงานของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ คือ Follicle stimulating hormone และ Luteinizing hormone
       5.สังกะสีช่วยให้ระบบสืบพันธุ์ของเพศชาย ให้ดำเนินหน้าที่ไปตามปกติ
       6.สังกะสีเป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือดขาว และช่วยระบบต้านทานโรคของร่างกาย
       7.สังกะสีเป็นส่วนประกอบของอินซูลิน (Insulin) ถ้าไม่มีสังกะสี อาจทำให้เป็นโรคเบาหวานได้
       8.สังกะสีช่วยในการดูดซึมและการทำงานของวิตามิน โดยเฉพาะ B complex
       9.สังกะสีช่วยในการย่อยคาร์โบไฮเดรท (พวกแป้งและน้ำตาล) และการเผาผลาญฟอสฟอรัส
       10.สังกะสีช่วยในการสังเคราะห์กรดนูเลอิค ซึ่งควบคุมการสร้างโปรตีนในเซลล์
       11.สังกะสีช่วยในการขจัดกลิ่นตัว และรักษาแผล โรคเรื้อน สิวได้

ความต้องการ
       ปริมาณความต้องการสังกะสีต่อวันของบุคคลแต่ละวัยต่างกัน ดังนี้
       เด็กทารา       อายุ 0-5  เดือน       วันละ 3  มก.
                          อายุ 5-12 เดือน      วันละ 5  มก.
       เด็ก              อายุ 1-10  ปี          วันละ 10 มก.
       เด็กวัยรุ่น       อายุ 11-22 ปี         วันละ 15 มก.
       ผู้ใหญ่           อายุ 23-51 ปี         วันละ 15 มก.
       หญิงตั้งครรภ์                             วันละ 20 มก.
       หญิงให้นมบุตร                           วันละ 25 มก.
 




แหล่งอาหาร
       แหล่งอาหารที่มีสังกะสีมาก ได้แก่ เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ ถั่ว นม เป็นต้น ในข้าวสาลี ข้าวโอ๊ด ก็มีมากแต่เป็นแหล่งที่ไม่ดี เนื่องจากการดูดซึมสังกะสีจะถูกจำกัดเพราะเส้นใยในพืชผักเหล่านี้

ปริมาณสังกะสีในอาหารต่างๆ บางชนิด
………………………………………………………………………………

การขาดสังกะสี
       อาการ
          1.มีอาการทางผิวหนัง  เช่น ขนตามร่างกายร่วง ผิวหนังเป็นแผลฟกช้ำง่าย มีการอักเสบของผิวหนัง เป็นแผลเรื้อรัง ผิวแห้งหยาบดำด้าน โดยเฉพาะตามข้อพับทั่วๆ ไป
          2.การเจริญเติบโตผิดปกติ ทำให้เตี้ยแคระ (Dwart)
          3.การเจริญเติบโตทางเพศช้าและผิดปกติ (Hypogonadism)
          4.การปรับสายตาในที่มืดผิดปกติ
          5.เมื่อเกิดบาดแผลจะหายยาก
          6.ประสาทรับรสทำงานน้อยลง
          7.ในสตรีที่กำลังตั้งครรภ์และสตรีระหว่างการให้นมบุตร ถ้าขาดธาตุสังกะสีอาจมีผลต่อทารกในครรภ์เกิดความผิดปกติขึ้นได้ โดยจะมีผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ทำให้การเติบโตเป็นไปอย่างเชื่องช้าและทารกอาจมีรูปร่างแคระแกรน

การได้รับสังกะสีมากเกินไป
       1.ถ้าได้รับสังกะสี ประมาณ 2 กรัมต่อวัน หรือมากกว่าจะทำให้เกิดพิษ มีอาการผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร อาเจียน
          2.ถ้าได้รับสังกะสี วันละ 18.5 มิลลิกรัม หรือ 25 มิลลิกรัม ทำให้ภาวะโภชนาการของธาตุทองแดงต่ำลง เป็นผลทำให้เกิดภาวะโลหิตจางได้

No comments:

Post a Comment