โภชนาการรักษาโรค
กระเทียม (Garlic หรือ
Allium sativum)
คนส่วนใหญ่รู้จักกระเทียมมาช้านาน
กระเทียมใช้เป็นอาหารประจำวันของทุกๆ บ้าน
โดยใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องปรุงอาหารชนิดต่างๆ
ส่วนของกระเทียมที่ใช้เป็นอาหารได้แก่ หัว ใบ สำหรับฤทธิ์ในทางยา
กระเทียมก็เป็นที่รู้จักดีในวงการแพทย์แผนโบราณมานานกว่า 5,000 ปี ซึ่งถือว่าเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์มากมาย
กระเทียมเป็นพืชล้มลุกที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปยุโรป
และทวีปเอเชียตอนกลางมีกลิ่นรสเฉพาะตัวที่รุนแรง เผ็ดร้อน
ในปัจจุบันนอกจากจะนำมาประกอบอาหารแล้วบางคนก็อาจจะรับประทานกระเทียมสด,
ดองหรือปัจจุบันนี้ได้มีการสกัดในรูปน้ำมันกระเทียม (Garlic
oil) และกระเทียมผง (Garlic powder) หรือ
เป็นแคปซูล เพื่อสะดวกในการบริโภคอีกด้วย
สาระสำคัญในกระเทียม
จากข้อมูลในหนังสือคู่มือคุณค่าอาหารของกระทรวงเกษตรในสหรัฐอเมริกา
กล่าวถึงคุณค่าทางอาหารของกระเทียมว่า มีปริมาณสารอาหารไม่มากนัก มีคาร์โบไฮเดรท 31% โปรตีน 6% นอกจากนั้นก็มีพวก
วิตามินบี1, 2 วิตามิน C และแร่ธาตุพวกแคลเซียม, ฟอสฟอรัส, เหล็ก,
โซเดียม, โปตัสเซียม
ซึ่งจะเห็นว่าสารอาหารแต่ละตัวมีน้อยมากแต่มีสารอาหารที่น่าสนใจ อยู่ 2 ชนิด คือ ซีลีเนียมและวิตามิน B1 ชนิดพิเศษ
ซีลีเนียม
เป็นสารที่ร่างกายต้องการน้อย แต่ขาดไม่ได้ เพราะต้องใช้ในขบวนการเมตาโบลิสม์ (Metabolism)
มีหน้าที่เป็นตัวต้านไม่ให้ออกซิเจนหลุดออกจากเม็ดเลือดแดง
ทำให้เลือดของเราบริสุทธิ์ และเชื่อว่าซีลีเนียม
ป้องกันไม่ให้โลหะหนักบางอย่าง เช่น ปรอท
หรือตะกั่วเป็นพิษต่อร่างกาย และเป็นการป้องกัน โรคหัวใจ
ควบคุมความดันโลหิตให้ปกติ ช่วยป้องกันไม่ให้เนื้อเยื่อในร่างกายถูกทำลาย
ซึ่งทำให้เกิดเส้นเลือดอุดตันได้
วิตามินบี1
ชนิดพิเศษชื่อ อัลลิไทอามีน (Alli thiamine) ซึ่งมีผลต่อการทำงานของระบบประสาท
และการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรท ให้เป็นพลังงานแก่ร่างกาย โดยไม่สะสมในรูปของไขมัน
ทำให้เกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือด
นอกจากนี้
นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการวิเคราะห์ พบสารตัวอื่นๆ
อีกหลายชนิดในกระเทียมซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้
อัลลิซิน
(Allicin) เชื่อว่าสารตัวนี้ทำให้กระเทียมมีคุณสมบัติเป็นยาปฏิชีวนะและแก้อาหารอักเสบได้
อัลลิอิน
(Alliin) สารนี้จะถูกเปลี่ยนโดยเอนไซม์ อัลลิเนส ซึ่งมีอยู่ในกระเทียม
และจะทำงานเมื่อกระเทียมถูกทุบหรือสับ สารนี้มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและแก้การอักเสบ
ไดซัลไฟด์
(Disulfide) เชื่อว่าสารตัวนี้ สามารถลดคอเลสเตอรอลและสารไขมันอื่นๆ ได้
นอกจากนี้ยังเชื่อว่ามีสารอื่นๆ
อีกเช่น สารต้านเม็ดเลือดแตก ซึ่งป้องกันโรคโลหิตจาก สารต้านไขข้ออักเสบ
สารปรับระดับน้ำตาลในเลือดซึ่งช่วยในผู้ป่วยเบาหวานได้ สาร Antioxidant
ช่วยป้องกันการเน่าเปื่อยของอาหาร สารระงับการแข็งตัวของเลือด
ป้องกันโรคหัวใจ เป็นต้น
ผลของกระเทียมต่อสุขภาพ
การใช้ประโยชน์จากกระเทียมนั้นเป็นที่รู้จักของแพทย์มาตั้งแต่สมัยโบราณมานานกว่า
5,000 ปี ส่วนใหญ่จะใช้กระเทียมสดในการรักษาและบรรเทาอาการของโรคต่างๆ แต่กระเทียมสดจะมีข้อเสียตรงที่มีกลิ่นรุนแรง
รสชาติเผ็ดร้อน ทำให้ผู้ป่วยบางคนทนไม่ได้ จึงทำให้การรักษาได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร
แต่ในปัจจุบันได้มีการสกัดกระเทียมในรูป น้ำมันกระเทียม (Garlic oil) และกระเทียมผง (Garlic powder) หรือเป็นแคปซูล
เพื่อสะดวกในการบริโภคไม่มีปัญหาเรื่องรสชาติและกลิ่น
ซึ่งประโยชน์ของกระเทียมมีมากมาย สามารถสรุปได้ดังนี้
-
ลดคอเลสเตอรอลในเลือดและไขมันในเลือดให้ลดลงในระดับปกติ
-
ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน และกล้ามเนื้อหัวใจหยุดทำงานแบบเฉียบพลัน
-
ช่วยลดความดันโลหิตสูง ให้อยู่ในระดับปกติได้
-
ช่วยลดและบรรเทาอาหารของโรคระบบทางเดินหายใจต่างๆ
เช่น โรคภูมิแพ้ ไข้หวัด ไอ หืด หลอดลมอักเสบ เจ็บคอ เสียงแหบ
-
ช่วยยับยั้งและฆ่าเชื้อโรค เช่น แบคทีเรีย
ซึ่งเป็นสาเหตุของโรค วัณโรค คอตีบ ปอดบวม ไทฟอยด์ คออักเสบ
นอกจากนั้นยังรักษาอาการท้องเสีย และบิดอีกด้วย
-
ช่วยให้ระบบประสาทและสมองทำงานได้ดีขึ้น
-
ช่วยป้องกันการทำลายเนื้อเยื่อต่างๆ
ในร่างกายจากอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง
-
ช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือด (รักษาและป้องกันโรคเบาหวาน) จากการทดลอง
พบว่าสารในกระเทียมทำให้มีการกระตุ้นการหลั่งอินซูลินมากขึ้น
ซึ่งช่วยในการเผาผลาญน้ำตาลให้มากขึ้นทำให้น้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับปกติได้
-
ใช้ขับลม แก้จุกเสียด แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ และขับ เสมหะ
- จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่ากระเทียมเป็นพืชสมุนไพร ที่มีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพของผู้บริโภคซึ่งปัจจุบันก็สามารถจะเลือกบริโภคในรูปแบบต่างๆ
ได้ตามความชอบ ความสะดวก ถ้าไม่ชอบกลิ่นของกระเทียมสด
ก็สามารถรับประทานกระเทียมสกัดทั้งแบบเม็ดและแคปซูลได้เพราะจะไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นและรสชาติที่เผ็ดร้อน
ทำให้สะดวกต่อการรับประทานเป็นประจำและยังไม่มีโทษพิษภัยอะไรในการบริโภคอีกด้วย
ดังนั้นจึงควรที่จะหันมาบริโภคกระเทียมกันให้มากกว่านี้เพื่อสุขภาพของตัวท่านเองและคนที่ท่านรัก
No comments:
Post a Comment